วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

เรื่องที่เรียนในสัปดาห์ที่ก่อน วันที่ 10 กันยายน 2552

กลยุทธ์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจมีอยู่ 3 กลยุทธ์ คือ

Red Ocean Strategy การทำธุรกิจในปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันอย่างมากจนสุดท้ายก็มีการตัดราคากันจนเป็นทะเลเลือด การแข่งขันธุรกิจที่พบเห็นอยู่ทั่วไปในปัจจุบัน ล้วนแต่ถูกจัดให้เป็น Red Ocean ทั้งสิ้น เนื่องจากปัจจุบันการทำธุรกิจอย่างใดอย่างนั้นย่อมที่จะมีคู่แข่งแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้เท่านั้นเองว่าคู่แข่งเขามีกลยุทธ์อะไรในการบริหารงาน ดังนั้นบริษัทคู่แข่งจึงจะต้องการรู้ให้ได้ว่าบริษัทที่เป็นคู่แข่งนั้นมีกลยุทธ์การได้ใจลูกค้าอย่าง นั้นเป็นสิ่งที่แข่งขันกันรุนแรงมากๆในปัจจุบัน

Blue Ocean Strategy คือแทนที่จะมุ่งลอกเลียนแบบและเอาชนะกัน ก็ให้มุ่งหาทะเลแห่งใหม่ซะ โดยใช้หลักการ Eliminated Reduced Raised หลักการของ Blue Ocean นั้นจะไม่มุ่งเน้นที่จะตอบสนองต่ออุปสงค์ที่มีอยู่ แต่จะเน้นในการสร้างความต้องการหรืออุปสงค์ขึ้นมาใหม่ (Demand Creation) โดยไม่สนใจและให้ความสำคัญกับคู่แข่งเดิมๆ นั้นคือการคิดนอกกรอบ คิดไม่เหมือนใคร ใครที่ใช้กลยุทธ์นี้ก็ประสบความสำเร็จกันก็มากมาย เช่น ชาเขียวโออิชิ ของคุณตัน ภาสกรนที เขาทำธุรกิจแบบ Blue Ocean ได้ประสบความสำเร็จและยิ่งใหญ่

White Ocean Strategy เป็นการทำธุรกิจโดยเน้นจริยธรรมและคุณธรรมเข้าไปด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค

ความคุ้มค่า คือ ความพอใจ หาก ใช้วิธีคิดแบบนี้ ความคุ้มค่า ก็ไม่ได้หมายถึงของถูก แต่กลับมีส่วนประกอบอื่นๆ ทั้ง คุณภาพ การใช้สอย ปริมาณ อายุการใช้งาน ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง รายได้ ซึ่งทำให้เกิดการคิดที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น แต่ก็จะช่วยให้เกิดการบริหารการเงิน หรือจัดการเศรษฐกิจของตนเองและครอบครัวดีขึ้น

ประเภทของรายจ่าย

รายจ่ายมี 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ

(1.) งานบุคลากร รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐ ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะเงินเดือน ค่าจ้างประจำ ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทนพนักงานราชการ รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว

(2.) ค่าสาธารณูปโภค หมายถึง รายจ่ายค่าบริการสาธารณูปโภคสื่อสารและโทรคมนาคม รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระพร้อมกัน เช่น ค่าบริการ ค่าภาษี เป็นต้น

(3.) งบลงทุน หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการลงทุน ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าครุภัณฑ์ ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่าย อื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว

(4.) งบดำเนินงาน หมายถึง รายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายเพื่อการบริหารงานประจำ ได้แก่ รายจ่ายที่จ่ายในลักษณะค่าตอบแทน ค่าใช้สอย ค่าวัสดุ และค่าสาธารณูปโภค รวมถึงรายจ่ายที่กำหนดให้จ่ายจากงบรายจ่ายอื่นใดในลักษณะรายจ่ายดังกล่าว

ประเภทของรายรับ
1. จำนวนสินค้าที่ขายได้
2. จำนวนครังที่มาใช้บริการ เช่น สปาร์ , ร้านอินเทอร์เนต




สรุปจากเรื่องที่อาจารย์เล่า คนเกินร้อย หัวใจก็เกินร้อย

1. จากเรื่องเล่า คนเกินร้อย หัวใจก็เกินร้อย ใช้หลักการบริหารความเสี่ยงหรื่อไม่ ถ้าใช้ใช้ประเด็นใด
มี

ประเด็นแรก คือ จากเงินที่หามาได้แล้ว เค้าก็เอาไปกินเหล้าหมด จากนั้นเค้าก็เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตตัวเอง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น โดยการไม่กินเหล้า แต่หันมากินข้าวแทน ทำให้มีเงินเหลือกินเหลือเก็บ ทำให้ความเสี่ยง ในการเก็บเงิน มีน้อยลงเก็บเงินได้มากขึ้น
ประการที่สอง คือ การที่เขาไปขับแท็กซี่ แทนที่เขาจะขับรถตามถนนเพื่อหาลูกค้า เขากับลดความเสี่ยงด้วยการจอดรอลูกค้าตามโรงดัง เน้นลูกค้าต่างชาติ

2. ใช้หลักการหาลูกค้าตามเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร
ตามเป้าหมาย คือ ในช่วงแรกที่เศรษฐกิจดี เค้าไม่ต้องขับรถตระเวนไปทั่ว เพียงแค่จอดรถอยู่หน้าโรงแรมเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เป็นชาวต่างชาติเหมาไปเที่ยวตามที่ต่างๆ เพียงเท่านี้ก็ได้กำไรเยอะแล้วและในช่วงนี้ เค้าก็วิ่งแทกซี่เฉพาะช่วงบ่าย ถึงเย็น ก็ได้เงินพอควร แล้ว

3. ข้อเสนอแนะในการบริหารความเสี่ยง จากกรณีดังกล่าว
ถ้าเขาเก็บเงินอยู่ได้ตั้งแต่แรก ถ้าเค้าไม่ติดเหล้า ทุกวันนี้เค้าคงร่ำรวย มีฐานะมากกว่านี้การบริหารความเสี่ยงของเขาก็ดี มาถูกทางแล้ว รู้จักคิดถึงครอบครัวเป็นหลักและเห็นด้วยกับเขาที่ ขับแทกซี่ถึงแค่ช่วงเย็น เพราะถ้าขับตอนกลางคืนด้วย ก็ยิ่งอาจจะมีอันตราย ยิ่งต้องเผชิญ ความเสี่ยงที่อาจจะเจอพวกมิสสาชีพที่ต้องการทรัพย์จากเขา และเริ่มต้นจากเพียงแค่เป็นเด็กล้างรถแท็กซี่จนมาถึงผู้ประกอบการรถแท็กซี่ถึง 5 คัน ก็มีชีวิตที่ดีและมีครอบครัวที่อบอุ่น

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

การเป็นผู้ประกอบการด้าน IT ควรต้องพิจารณาหรือต้องทำอะไรบ้าง

จากวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นไปทั่วโลก ทำให้ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมต่างๆ ต้องประสบปัญหา เนื่องจากยอดขายที่ลดลง ผู้คนไม่มีความมั่นใจที่จะจับจ่าย ทำให้กลายเป็นผลกระทบไปในวงกว้าง หลายๆ องค์กรที่มีขนาดใหญ่จึงตั้งมีการปรับโครงสร้าง ลดขนาด ลดกำลังการผลิต เพื่อลดต้นทุน ในขณะที่ต้องรักษาความสามารถในการแข่งขัน ด้วยกหันมาใช้ระบบไอที ในการบริการจัดการ สร้างกระบวนการทำงาน อีกทั้งยังนำเอาข้อมูลที่มีวิเคราะห์เพื่อหาโอกาสในการทำธุรกิจ ทั้งนี้องค์กรขนาดใหญ่ทุกแห่งต่างมองการลงทุนด้านไอที เพื่อการลดต้นทุนในระยะยาว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน มากกว่ามองว่าเป็นค่าใช้จ่าย หรือเป็นต้นทุนทางธุรกิจ

ผู้ประกอบการด้าน IT ควรจะรู้จักมองการไกลในการทำธุรกิจให้เจริญมากยิ่งขึ้น โดยการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนเพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด ใช้ IT เข้ามามีบทบาทในการบริหารงานของเราให้มากเพื่อลดต้นทุนในเรื่องของการจ้างบุคคลากรมาทำงานให้เหลือสัก 1 คน หรือ 2 คน ซึ่งเราก็เป็นธุรกิจ SMEs ไม่จำเป็นต้องใช้บุคคลากรมาก นอกจากนั้น IT ยังช่วยให้เราทำงานได้รวดเร็วขึ้นกว่าการใช้คนทำด้วยซ้ำไปจะสามารถเชื่อมต่อกันได้ทุกแผนกการทำงานก็จะง่ายและก็รวดเร็วขึ้น

ผู้ประกอบการด้าน IT ต้องศึกษาความต้องการของระบบงาน และต้องวางแผนระบบงานของเราไว้ให้เรียบร้อยเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพราดในการนำเทคโนโลยีด้าน IT มาใช้กับงานเราให้ได้ประสิทธิภาพทีสุด และยังต้องดูความสามารถของระบบ IT ให้มีความทันสมัยเพื่อประสิทธิการทำงานขององค์กร

คุณสมบัติผู้ปรกอบการที่ดี
1. มีความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จ การเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จนั้น จะต้องทั้งลงทุนและลงแรง ต้องทำงานหนักแทบไม่จะ ไม่มีวันหยุด เพราะต้องวางแผน ตัดสินใจ ดำเนินการ แก้ไขปัญหาอยู่เกือบตลอดเวลา ลักษณะดังกล่าวนี้จึงจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว

2. มีความมั่นใจในตนเอง คนที่เชื่อมั่นในตนเองจะเป็นคนที่มีกำลังใจให้ตนเองสูง ไม่กลัวที่จะต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรค จึงมี โอกาสสูงที่จะบรรลุกับความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ คุณสมบัตินี้จะทำให้คนที่ทำงานด้วยหรือคนอื่นที่ เกี่ยวข้องมีความเชื่อมั่นตามไปด้วย

3. มีแนวคิดเกี่ยวกับธุรกิจของตนเองอย่างชัดเจน ผู้ประกอบการจะต้องรู้ว่าตนเองกำลังอยู่ในธุรกิจอะไร

4.มีแผนงานที่เป็นระบบ การมีเฉพาะแนวคิดทางธุรกิจที่ดีไม่ได้ยืนยันว่าผู้ประกอบการจะประสบความสำเร็จ แต่ควรจะมีแผน งานที่เป็นระบบด้วย

5. มีความสามารถมองเห็นสภาพของการแข่งขันในอนาคตได้

6. มีทักษะในการประสานงาน ผู้ประกอบการควรทราบว่าตนเองไม่สามารถรู้ทุกเรื่อง และทำทุกเรื่องด้วยตัวคนเดียวได้

7. มีการจัดองค์กรที่เหมาะสม การจัดองค์กรที่เหมาะสมไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีโครงสร้างองค์กรเหมือนบริษัทใหญ่โดยทันที แต่ หมายถึงการมีสายการบังคับบัญชาที่ชัดเจน ไม่ซับซ้อน เหมาะกับขนาดของกิจการ และสามารถปรับเปลี่ยน ได้เป็นระยะ ๆ ตามขนาดขององค์กรที่เติบโตขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

9 อันดับสัตว์เลี้ยงที่รวยที่สุดในโลก


ลำดับที่ 1 ชื่อ กันเทอร์ ที่ 4 เป็นสุนัขที่ไกลเกินเอื้อม เกินกว่าที่คุณจะลูบคลำเขาได้มีทรัพย์สินมูลค่ารวมทั้งสิ้น 224 ล้านปอนด์ หรือ ราว 12,500 ล้านบาท สุนัขตัวนี้ร่ำรวยมาจากเจ้าของของมัน ที่ทิ้งมรดกจำนวนมหาศาลไว้ให้
มันเป็นเจ้าของแมนชั่นที่ไมอามี่ และ วิลล่าในบาฮามัสอาหารประจำวันของสุนัขตัวนี้คือ ไข่ปลาคาเวียร์ และสเต็ก

ลำดับที่ 2 เป็นลิงกอลิล่าชื่อว่า คาลู อยู่ในเคปทาวน์ แอฟริกามันได้มรดกจำนวน 53 ล้านปอนด์ภายหลังจากการหย่าร้างของนักว่ายน้ำ ชื่อดังแฟรค์ โอนีล และภรรยาแพทริเซีย

ลำดับที่ 3 สุนัขชื่อ โทบี้ ไรม์ มูลค่า 30 ล้านปอนด์ เอลลา เวนเดล เป็นเจ้าของคนแรกของสุนัขต้นตระกูลของโทบี้ ซึ่งเลี้ยงมาตั้งแต่ปีพศ.2474 และได้ประคบประหงมมาจนถึงรุ่นของโทบี้ ไรม์ จนปัจจุบันมันมีมรดกมูลค่าถึง 30 ล้านปอนด์ หรือราว 1,600 ล้านบาท


ลำดับที่ 4 สุนัขของ โอปราห์ วินฟรีห์ เจ้าแม่ทอล์โชว์ แห่งสหรัฐอเมริกา มีสุนัขแสนรักที่มีมูลค่าสูงถึง 30 ล้านปอนด์ ตามชื่อเสียงของเจ้าของๆ มัน

ลำดับที่ 5 ปลาวาฬ เคโกะ มูลค่า 22.6 ล้านปอนด์ เป็นปลาวาฬที่โด่งดังจากภาพยนต์เรื่อง ฟรีวิลลี่

ลำดับที่่ 6 แม่ไก่ชื่อ กิกกู มูลค่า 10 ล้านปอนด์ เจ้าของไก่ตัวนี้คือ ไมล์ แบล็คเวลล์ เจ้าของสำนักพิมพ์ผู้มั่งคั่ง ได้ยกมรดกไว้ให้ไก่ตัวนี้มูลค่าถึง 10 ล้านปอนด์หลังจากที่เขาได้เสียชีวิตตามภรรยาของเขาไป



ลำดับ 7 แมว ชื่อ แบล็คกี้ แบล็คกี้เป็นแมวที่รวยที่สุดในโลกเพราะมันได้รับมรดกจาก นายเบน เรีย มหาเศรษฐีผู้สันโดษ ที่ยกมรดกไว้ให้แก่มัน

ลำดับที่ 8 สุนัขชื่อ ทรอปเบิล เมื่อไฮโซ ชื่อดัง ลีโอนา เฮมสรีย์ เสียชีวิตลง ครอบครัวของเธอได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อยุติการเลี้ยงดูเจ้าทรอปเปิล และขอรับคืนเงินจำนวน 7 ล้านปอนด์ที่เธอทิ้งไว้ให้ ศาลตกลงให้ครอบครัวของเธอลดจำนวนเงินในการเลี้ยงดูลงแต่ยังคงต้องรับเลี้ยงและดูแลมันต่อไป โดยในปัจจุบันนี้เจ้าทรอปเปิลมีชีวิตที่หรูหราอยู่ในนิวยอร์ค

ลำดับที่ 9 สุนัขชื่อ ฟรอสซี่ เป็นสุนัขพันธุ์ลาบาดอร์ ของนักแสดงชื่อดัง ดูร์ แบร์รี่มอร์ มีมูลค่าสูงถึง 3.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 200 ล้านบาท

อือม์ อะไรจะรวยกว่าคนไทยครึ่งค่อนประเทศซะขนาดน้านนนนน

วันพฤหัสบดีที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แฟชั่นน้องหมา

เริ่มกันที่เทรนด์ใหม่มาแรงต้องยกให้ "กิโมโนสีสด" ทั้งสีเขียว ฟ้า ชมพู แดง และเลือดหมู ลายดอกซากุระ ด้านหลังปักโบว์ใหญ่แซมด้วยเชือกหลากสี เพิ่มความเก๋ให้แผ่นหลังน้องหมา ซึ่งเจ้าของต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า "ถูกใจน้องหมานักเชียว"




ต่อด้วยแฟชั่นชุดลำลอง ขอบอกว่านาทีนี้สไตล์เกาหลีสีโทนแดงมาแรงนัก ที่อินเทรนด์สุดๆ ในหมู่ตูบสาวสวยจะเป็นเสื้อยืดลายการ์ตูนรัดรูปใส่กับกระโปรงยีนส์หรือกระโปรงลายสก๊อต ด้านตูบหนุ่มหล่อนิยมใส่เสื้อยืดสกรีนตัวอักษรและเสื้อยืดลายขวางกับยีนส์สีฟ้าเข้ม

วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลก





การประกวดสุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลกนั้นมีมานานแล้ว ล่าสุดก็ได้จัดประกวดขึ้นในงาน "โซโนมา - มาริน แฟร์ ครั้งที่ 21" ที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2552 โฉมหน้าแชมป์ตัวใหม่ ชื่อ พาบต์ พันธุ์บ็อกเซอร์ผสม อายุ 4 ปี เจ้าของคือ Miles Egstad ส่งเข้าประกวด




สำหรับภาพล่างนี้คือ เอลลี่ ผู้ครองแชมป์สุนัขที่น่าเกลียดที่สุดในโลกติดต่อกันหลายสมัย เชื่อว่าหลายคนคงจะคุ้นกับเธอดี แค่มองแวบเดียวก็ติดตาไปนานเชียวละครับ แม้คนอื่นจะมองว่าสุนัขพวกนี้น่าเกลียดเพียงใด หากผู้เป็นเจ้าของกลับมองว่ามันน่ารักเสมอ อีกทั้งยังให้ความรักกับมันอย่างเต็มที่ ว่าแต่ว่าถ้าเอาสองตัวนี้มาผสมกัน ลูกจะพิลึกขนาดไหนนะเนี่ย!

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุนัข หู ยาวที่สุดในโลก









Tiger ไทเกอร์ คือชื่อของ สุนัข หู ยาวที่สุดในโลก โดยวัดความยาวหูขวาได้ 34.9 เซ็นติเมตร และหูซ้ายได้ 34.2 เซ็นติเมตร ไทเกอร์เป็น สุนัข พันธุ์ บลัดฮาวด์ ( bloodhound ) โดยมี Bryan and Christina Flessner เป็นเจ้าของ และพักอาศัยอยู่กัน ไทเกอร์ ที่ St Joseph, Illinois, USA

‘อัฟกัน ฮาวน์ด’ สุนัขที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก








สุนัขพันธุ์ “อัฟกัน ฮาวน์ด” เป็นสุนัขที่เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอัฟกานิสถานและจากการสืบประวัติสายพันธุ์ทราบว่ามีต้นกำเนิดมาตั้งแต่สมัยอียิปต์เมื่อหลายพันปีที่ผ่านมาจึงจัดเป็นสุนัขสายพันธุ์เก่าแก่ที่สุดพันธุ์หนึ่งของโลก “อัฟกัน ฮาวน์ด” ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์อย่างจริงจังเมื่อช่วงศตวรรษที่ 19 โดยมีนายทหารชาวอังกฤษได้นำสุนัขพันธุ์นี้กลับประเทศหลังจากสงครามชายแดนระหว่างอินเดียกับอัฟกานิสถานยุติลง มีการพัฒนาสายพันธุ์กันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันจัดเป็นสุนัขที่มีลักษณะเป็นผู้ดี สง่างาม แต่ชอบปลีกตัวโดดเดี่ยว มีขนยาวอ่อนนุ่มเป็นเงางาม จนได้รับการขนานนามว่า “ราชาแห่งสุนัข” (King of Dog) จัดเป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดในโลก

คุณจเร จันทรศรีสุริยวงศ์ ชาว อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นผู้หนึ่งที่มีประสบการณ์ในการเลี้ยงสุนัขพันธุ์ “อัฟกัน ฮาวน์ด” มานานกว่า 10 ปี บอกถึงวิธีการเลี้ยงสุนัขสายพันธุ์นี้ในเมืองไทยว่า เนื่องจากเป็นสุนัขที่ถิ่นกำเนิดทางแถบทะเลทราย แต่เป็นสุนัขที่มีลักษณะขนยาว ดังนั้นในการดูแลเรื่องขนควรจะแปลงขนทุกวัน แม้แต่หลังจากการกินน้ำทุกครั้งจะต้องเช็ดขนให้แห้ง ถ้าทิ้งไว้ขนจะพันติดกันทันที หัวส่วนบนจะมีขนยาวนุ่ม หูยาวถึงปลายจมูกและมีขนยาวปกคลุม ตาสีดำรูปอัลมอนด์ จมูกสีดำ ส่วนหางจะยกขึ้นแต่ไม่ควรสูงนักและม้วนงอเป็นวงกลมหรือส่วนของปลายหางโค้งเป็นที่สังเกตว่าสุนัขสายพันธุ์นี้มีเอวเล็กและคอดมาก ในการให้อาหารผู้เลี้ยงจะต้องพยายามควบคุม อย่าให้อ้วนจนเกินไป

โดยเฉพาะ ผู้ที่จะเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อและแม่พันธุ์ ถ้าปล่อยให้สุนัขอ้วนมากในการผสมพันธุ์ แต่ละครั้งจะ ติดค่อนข้าง ยากและโอกาสที่สุนัขหลังหักได้ง่าย การเลี้ยงด้วยอาหารเม็ดเกรดพรีเมี่ยมจะสะดวกและแร่ธาตุครบโดยจะให้เพียงวันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น อัตรา 200 กรัมต่อมื้อหรือประมาณ 1 กำมือ ข้อมูลอีกประการหนึ่งที่ผู้ที่คิดจะเลี้ยง “อัฟกัน ฮาวน์ด” ก็คือเป็นสุนัขที่ฝึกยากพอสมควรเนื่องจากเป็นสุนัข IQ ไม่สูงมากนัก ผู้เลี้ยงจะต้องมีเวลาเอาใจใส่พอสมควร ในการผสมพันธุ์ คุณจเรบอกว่า สุนัขพันธุ์นี้จะมีพฤติกรรมค่อนข้างแปลก เมื่อถึงช่วงผสมพันธุ์ตัวเมียมักจะเล่นตัว จะต้องให้ตัวผู้มาเกี้ยวพาราสีโดยการเต้นเป็นวงกลมจนตัวเมียยอมรับถึงจะให้ผสมพันธุ์ได้ (หลายคนแก้ปัญหาตัวเมียไม่ยอมรับตัวผู้ให้ผสมพันธุ์ ใช้วิธีการผสมเทียมแทนได้) ด้วยเป็นสุนัขที่มีรูปร่างอกใหญ่แต่เอวเล็ก ทำให้การตั้งท้องของสุนัขพันธุ์นี้จะสังเกต ได้ยากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ จะใช้เวลาตั้งท้องนานประมาณ 2 เดือนและให้ลูกคอกละ 4-8 ตัว ปัจจุบันราคาซื้อ-ขายลูกสุนัขสายพันธุ์นี้ราคาถูกแพงขึ้นกับสีบนลำตัว อาทิ สีดำ-น้ำตาล, สีครีมหรือสีทองหน้าดำเฉลี่ยตัวละ 18,000 บาท แต่ถ้าสีขาวหน้าขาว, สีครีมหน้าครีมหรือ สีทองหน้าทอง จะมีราคาแพงขึ้นไปถึง 20,000-25,000 บาท และที่มีราคาแพงที่สุดราคาตัวละ 30,000 บาท คือ สีขาว-เทา, สีเทา และสีลายเสือ เป็นต้น.





ที่มา : http://www.sanzonshop.com/webboard_249162_12228_th?lang=th

สุนัขพันธ์ที่ราคาแพงที่สุดในโลก








.....Miss Mary de Pledge แห่งเมือง แบร็ดเนลเบอร์กไซร์ ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าของสุนัข พันธุ์ปักกิ่งที่ชื่อว่า Cavershari Ku-Ku-of-Yam อายุ 3ปีครึ่ง ตำแหน่งแชมป์เปี้ยนได้ปฏิเสธข้อเสนอ ของนักผสมพันธุ์สุนัขชาวอเมริกันผู้หนึ่งที่เสนอชอซื้อเจ้า Cavershari Ku-Ku-of-Yam ในราคา 10,500 ปอนด์ เสตอริง ซึ่งขณะนั้นคิดเป็นเงินดอลล่าร์ถึง 29,400 ดอลล่าร์

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การนำสุนัขเข้าบ้านครั้งแรก

การนำสุนัขเข้าบ้านครั้งแรก

เมื่อนำลูกสุนัขเข้าบ้านครั้งแรก ลูกสุนัขอาจเดินสะเปะสะปะไปทั่ว ควรจำกัดบริเวณให้อยู่ ในห้องหรือบริเวณที่เป็นที่อยู่ของสุนัขและปล่อยให้สำรวจสิ่งแวดล้อมใหม่บริเวณนั้น ทั้งนี้ ควรอยู่กับลูกสุนัขก่อนในระยะแรกและควรจัดให้มี อาหาร น้ำ ของเล่นและที่รองนอนไว้ด้วย

กรงที่ปลอดภัย

การให้ลูกสุนัขได้อยู่ในกรงแต่แรกอาจช่วยให้ลูกสุนัขรู้สึกปลอดภัยกว่าอยู่ในห้องโล่งๆ และควรหัดสุนัขให้ถ่ายปัสสาวะบนกระดาษหนังสือพิมพ์

ทำความรู้จักกับสุนัขตัวอื่น

สุนัขที่อยู่ก่อนมักรู้สึกไม่พอใจ เมื่อลูกสุนัขตัวใหม่เข้ามาจึงควรเปิดโอกาสให้สุนัขที่อยู่ก่อน ได้สำรวจลูกสุนัขตัวใหม่ ขณะที่ลูกสุนัขยังหลับอยู่

ทำความรู้จักกับแมว

สุนัขและแมวสามารถอยู่ร่วมกันและเป็นมิตรที่ดีต่อกันได้ ถ้าการพบกันครั้งแรกไม่เกิด ลักษณะการข่มขู่ดังนั้น ควรให้แมวสำรวจลูกสุนัขขณะลูกสุนัขยังหลับอยู่

ความปลอดภัยภายในบ้าน

ธรรมชาติของลูกสุนัขจะอยากรูอยากเห็นและชอบสำรวจสิ่งใหม่ๆ เช่น การดมกลิ่นและ การกัดแทะ จึงต้องระวัง สิ่งที่สามารถจะทำอันตรายต่อลูกสุนัขได้ โดยการนำสิ่งของที่แตก ง่ายและเครื่องใช้ไฟฟ้าเก็บไว้ในที่ปลอดภัย

ประวัติความเป็นมาของสุนัข

สุนัขมีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่า โดยมนุษย์แถบขั้วโลกเหนือนำมาเลี้ยงเมื่อ 12,000 ปีมาแล้ว เชื่อกันว่า สุนัขป่าตัวแรก เกิดขึ้นเมื่อ 100 ล้านปีที่แล้ว และการอพยบข้ามถิ่นและทวีปต่างๆ ทำให้สุนัขมีหลายพันธุ์ ในประเทศจีน ชาวจีนมีความเชื่อว่าสุนัขที่ชื่อ "Fu" มีความซื่อสัตย์ และนำความเจริญมาให้ โดยมีลักษณะ คล้ายสุนัขพันธุ์ปักกิ่ง "ANUBIS" เป็นชื่อของเทพเจ้าโรมันที่ตัวเป็นคน หัวเป็นสุนัข เชื่อว่าสามารถส่ง วิญญาณมนุษย์ได้

วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความรู้เกี่ยวกับสุนัข

สุนัข เป็นสัตว์ที่ชอบไล่ล่า มีความพยายาม อดทน เฉลียวฉลาด โดยธรรมชาติ สุนัขเป็นสัตว์ที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม สังเกตได้จากสุนัขป่านิยมอยู่รวมกันเป็นฝูง มีการแบ่งหน้าที่กันเลี้ยงลูกอ่อน และออกล่าเหยื่อเป็นอาหาร เมื่อมนุษย์นำมาสุนัขป่ามาเลี้ยง พฤติกรรมบางอย่างของสุนัขป่าจึงเปลี่ยนไป
การเคลื่อนไหว สุนัขบางพันธุ์สามารถวิ่งได้เร็วมาก เช่น หมาป่า ที่วิ่งได้ความเร็ว 56 ก.ม./ช.ม. สะลูกี้ และเกรย์ฮาว์น วิ่งได้เร็วถึง 70 ก.ม./ช.ม. แม้ว่าสุนัขจะวิ่งได้ไม่เร็วมากเหมือนเสือชีต้า (วิ่งได้ถึง 129 ก.ม./ช.ม.) แต่สุนัขมีลักษณะพิเศษที่ มีความอดทนสูงกว่า มันสามารถวิ่งติดต่อกันเป็นระยะทางไกลๆ เพื่อล่าเหยื่อ นอกจากนี้ สุนัขยังว่ายน้ำได้ดี โดยใช้ขากวักไปมาในน้ำ เช่น สุนัขป่าแรคคูนในจีน ญี่ปุ่น และไซบีเรีย ที่สามารถว่ายน้ำ และดำน้ำล่าเหยื่อได้เป็นเวลา หลายนาที
การดมกลิ่น ความสามารถในการดมกลิ่นของสุนัขถือได้ว่าดีเยี่ยม (จะเป็นรองก็แค่ปลาไหลเท่านั้นแหละ) แต่ความสามารถที่ว่านี้จะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ แต่ก็ดีกว่ามนุษย์ถึงล้านเท่าทีเดียว จึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะนำความสามารถนี้มาใช้ประโยชน์นับไม่ถ้วน เช่น ในฝรั่งเศส และอิตาลีใช้สุนัขในการค้นหาเห็ด Truffle ที่อยู่ลึกลงไปในดินถึง 30 ซม. ฮอลแลนด์ และเดนมาร์คใช้สุนัขในการค้นหาแก๊สรั่ว นอกจากนี้ ยังใช้สุนัขในการค้นหาวัตถุระเบิด ยาเสพติด และคนหายอีกด้วย สุนัขทำได้อย่างไร เราลองมาดูกัน องค์ประกอบของกลิ่นต่างๆ คือ โมเลกุลของสารเคมี ที่ล่องลอยในอากาศ สุนัขจะได้กลิ่นโดยผ่านทางเนื้อเยื่อภายในจมูก และเนื้อเยื่อ ก็จะส่งข้อมูลของกลิ่นนี้ไปยังสมอง สุนัขได้ พัฒนาทักษะในการดมกลิ่นมายาวนานมาก ว่ากันว่า พื้นที่การดมกลิ่นในจมูกของมนุษย์ ผู้ใหญ่มีประมาณ 3 ตร. ซม. แต่ของสุนัข เฉลี่ยแล้วมีถึง 130 ตร. ซม. ทีเดียว นอกจากนี้ สุนัขยังมีเส้นประสาทดมกลิ่นมากกว่ามนุษย์มาก คือ มนุษย์มีเส้นประสาทดังกล่าว 5 ล้านเซล แต่ดัชชุนมีถึง 125 ล้านเซล ฟ็อกซ์เทอร์เรีย มี 147 ล้านเซล เยอรมันเชพเพิร์ดมี 220 ล้านเซล จมูกที่เปียกยังช่วยให้การดมกลิ่นดีขึ้น คือ มันจะช่วยซึมซับกลิ่นที่ล่องลอยในอากาศ และส่งต่อไปยังเนื้อเยื่อรับกลิ่นภายในจมูก และไล่กลิ่นเดิมที่ตกค้างอยู่ออก
การได้ยิน เป็นอีกสิ่งหนึ่งสุนัขทำได้ดีกว่ามนุษย์ สุนัขส่วนใหญ่มีหูใหญ่ ที่ประกอบไปด้วย กล้ามเนื้อถึง 17 มัด และสามารถบิดหูไปมาเพื่อรับคลื่นเสียงให้ตรงกับแหล่งที่มาได้ โดยมันสามารถ รับคลื่นเสียงได้ถึง 35,000 Vibration ต่อวินาที เทียบกับมนุษย์ที่ 20,000 ต่อวินาที และแมว 25,000 ต่อวินาที นอกจากนี้ มันยังสามารถแยกความแตกต่างระหว่างเสียงต่างๆ ได้ด้วย แต่ที่พิเศษยิ่งไปกว่านี้ คือ มันสามารถปิดหูชั้นใน เพื่อที่จะกรองเสียงภายนอกอื่นๆ ที่ไม่ต้องการออกไป เหลือไว้แต่เสียงที่ต้องการเท่านั้น
การมองเห็น สุนัขสายตาไม่ดีนัก ส่วนใหญ่จึงใช้การดมกลิ่นในการล่าสัตว์มากกว่าสายตา แต่ก็มีสุนัขบางพันธุ์ที่ได้พัฒนาความสามารถในการมองเห็น จนสามารถใช้สายตา ในการล่าสัตว์ได้ เช่น เกรย์ฮาว์น เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม สุนัขไม่สามารถมองเห็นภาพสี ภาพที่มันมองเห็นจะเป็นโทนสีขาว ดำ และเทา เท่านั้น
นอกจากนี้ สุนัขยังมีประสาทสัมผัสพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ที่เราเรียกว่า “ประสาทสัมผัสที่ 6″ สุนัขมีความสามารถในการรับรู้เกี่ยวกับวิญญาณ และโทรจิต จึงไม่แปลกที่สุนัขมักจะทราบล่วงหน้า ก่อนที่คุณจะตัดสินใจออกไปข้างนอก และปล่อยให้มันอยู่บ้านตามลำพัง
ที่มา: www.lovedog.gointer.com/

สาระน่ารู้เกี่ยวกับสุนัข

*** หัวใจสุนัขเต้น 70 ถึง 120 ครั้งต่อนาที ในขณะที่หัวใจมนุษย์เต้น 70 ถึง 80 ครั้งต่อนาที
*** สุนัขสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดคือ “ไอริช วูล์ฟฮาวนด์” และเจ้า “ชิวาวา นั้นเป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่สุด ในขณะที่เจ้า “เซนต์เบอร์นาร์ด” ครองแชมป์น้ำหนักมากที่สุด
*** ในโลกนี้ มีสุนัขสายพันธุ์บริสุทธิ์อยู่ทั้งสิ้นประมาณ 700 สายพันธุ์
*** สุนัขที่ถูกเลี้ยงในบ้านส่วนใหญ่สามารถวิ่งได้รวดเร็วถึง 30.5 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่สำหรับเจ้า “เกรย์ฮาวนด์” ซึ่งถือว่าเป็นราชาลมกรด สามารถวิ่งได้เร็วถึง 64 กิโลเมตรต่อชั่วโมง!!
*** ผลต่อหัวใจ และระบบประสาทของสุนัข ช็อกโกเลตเพียงแค่ไม่กี่ออนซ์ก็สามารถฆ่าสุนัขตัวเล็กได้!!
ที่มา: rachanon13@hotmail.com

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

เมนูต้องห้ามของสุนัขที่คนรักสุนัขควรรู้

ชิสุห์



โกเด้น








อาหารเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้สุนัขของคุณมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว ดังนั้นการให้อาหารแก่สุนัข ผู้เลี้ยงจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันอยู่บ้าง ผู้เลี้ยงหลายคนนิยมให้อาหารสำเร็จรูป เพราะสะดวกสบายไม่ต้องเสียเวลาในการเตรียมอาหารสดให้ ยุ่งยาก เพราะกว่าจะครบถ้วนด้วยสารอาหารก็จะต้องมีทั้ง ข้าว ตับ และผัก การใช้อาหารเม็ด หรืออาหารกระป๋องดูจะง่ายและให้สารอาหารแก่สุนัขอย่างครบถ้วนมากกว่า อีกทั้งอุจจาระของสุนัขยังแข็งเป็นก้อนง่ายต่อการเก็บทำความสะอาดอีกด้วย แต่ก็มีผู้เลี้ยงบางกลุ่มนิยมให้อาหารสุนัขตามแต่ความต้องการของตนเอง โดยผู้เลี้ยงเข้าใจผิดว่า สุนัขมีความต้องการ และความสามารถในการกินได้เช่นเดียวกับคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความคิดที่ผิด อาหารที่คุณให้อาจย้อนกลับมาทำอันตรายถึงชีวิตแก่สุนัขแสนรักของคุณได้
อาหารต้องห้าม 3 อย่างของสุนัข ที่ผู้เลี้ยงควรหลีกเลี่ยงไม่นำมาให้สุนัขกินได้แก่
กระดูกไก่ ปลาหากไม่จำเป็นคุณไม่ควรให้กระดูกไก่ ปลา ให้เจ้าสุนัขของคุณกินโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าสุนัขของคุณจะชื่นชอบอาหารเหล่านี้เพียงใด เพราะ กระดูกไก่ ก้างปลา อาจแตกหักระหว่างที่สุนัขขบเคี้ยวสร้างมุมแหลม และความแหลมนี่เองอาจทิ่มแทงทำอันตรายสุนัขของคุณได้ ผู้เลี้ยงหลายคนให้เหตุผลในการให้อาหารเหล่านี้แก่สุ นัขว่า ต้องการให้แคลเซียมแก่สุนัข ซึ่งความจริงแล้วผู้เลี้ยงสามารถให้เม็ดแคลเซียม หรือนมอุ่นๆแก่สุนัขแทนได้
ทั้งนี้หมายรวมถึงอาหารที่มีลักษณะเป็นของมีคมขนาดเล ็กอื่นๆ เช่น ส่วนหางของกุ้ง เพื่อนของผู้เขียนเคยสูญเสียสุนัขจากกรณีดังกล่าวมาแ ล้ว เนื่องจากไปเที่ยวทะเลซื้ออาหารทะเลมารับประทานที่บ้ าน พอเหลือก็นำมาให้สุนัขกินอย่างไม่รู้เท่าทัน ผลปรากฏว่าสุนัขกินส่วนหางของกุ้งเข้าไปติดคอเสียชีวิต
หัวหอมและกระเทียม ไม่ควรให้สุนัขรับประทานในปริมาณมาก เพราะหัวหอมและกระเทียม มีส่วนประกอบของกำมะถันอยู่มาก เพราะฉะนั้นไม่เหมาะแก่การผสมในอาหารให้กับเจ้าตูบ เนื่องจากว่า สารกำมะถันนี้จะทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงของเจ้าสุนัข จะทำให้โรคโลหิตจาง และโรคเลือดไหลไม่หยุดได้
ช็อคโกแลต หลายคนเคยให้ช็อคโกแลตกับสัตว์เลี้ยงของท่าน โดยไม่รู้ว่าช็อคโกแลตเหล่านี้ส่งผลร้ายต่อสุนัข สาเหตุเพราะช็อคโกแลตมีส่วนประกอบของสารชนิดหนึ่งชื่ อว่า theobromine ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับ สารพวก caffeine(ซึ่งมีในพวกกาแฟ โกโก้) สาร theobromine นี้เมื่ออยู่ในร่างกายมันจะมีฤทธิ์หลายอย่าง แต่ที่เห็นเด่นๆชัด คือ จะกระตุ้นให้มีการหลั่งสารที่เรียกกันว่า adrenaline ซึ่งสารตัวนี้จะมีผลทำให้หัวใจเต้นเร็ว เหงื่อออกมาก ถ้ากินมากๆอาจถึงขั้นเป็นพิษได้จะทำให้เกิด อาการ อาเจียน ท้องเสีย หายใจถี่ ฉี่บ่อย กระวนกระวาย และในที่สุดก็ถึงตายได้ มีรายงานในสุนัขบอกว่า ในสุนัขที่น้ำหนักไม่เกิน 5 กก. กินเข้าไปแค่ 400 มก. ก็สามารถแสดงความเป็นพิษได้ การที่สุนัขค่อนข้างจะไวต่อความเป็นพิษของ theobromine นั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของมันไม่สามารถที่จะกำจัด theobromine ออกจากร่างกายได้รวดเร็วเหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ตามปกติช็อคโกแลตที่ขายในท้องตลาด ถ้าเป็นแบบหวานจะมี theobromine อยู่ประมาณ 1.5 มก ต่อ ซีซี แต่ถ้าเป็นแบบไม่หวานจะมีประมาณ 13 มก. ต่อ ซีซี
ที่มา: http://www.bloggang.com/

วิธีการดูแลสุนัขหน้าร้อน



ร้อนจริง ร้อนจัง อากาศร้อนช่วงเมษานี้กลางวันร้อนมากถึง 40-41 องศาแบบนี้ ต้องดูแลโกลเดนกันมากหน่อยเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นหมาขนยาวที่มีโอกาสเกิดอาการฮีทสโตรก Heatstroke ที่อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายกว่าหมาพันธุ์อื่นๆ ร่างกายของน้องหมาจะระบายความร้อนทาง


ปากและลิ้นและที่อุ้งเท้าโดยไม่มีต่อมเหงื่อตามรูขุมขนตามผิวหนังเหมือนคนเรา ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจหากน้องหมาทำลิ้นห้อยอยู่ตลอดเวลาและบางครั้งก็เอาเท้าจุ่มน้ำก็ปล่อยให้ทำไปเพราะเป็นการระบายความร้อนโดยธรรมชาติ อาการฮีทสโตรกเกิดจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้กับอากาศร้อนได้ทัน การวิ่งออกกำลังกายมากๆในช่วงอากาศร้อน หรืออาการขาดน้ำที่เพียงพอ หรืออยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนสูงกว่าอุณหภูมิของร่างกายเป็นเวลานานๆ ร่างกายไม่สามารถปรับระบบระบายความร้อนได้ทัน โดยปกติอุณหภูมิของน้องหมาจะอยู่ที่ 38-39 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิร่างกายสูงถึง 40 องศาที่เกิดจากอากาศไม่ใช่เกิดจากอาการไข้ติดเชื้อก็จะมีอาการหายใจแรง หอบ น้ำลายเยอะมาก เหงือกแดงมาก หัวใจเต้นเร็ว หายใจลำบาก อาเจียนออกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด มีจุดแดงตามร่างกาย กล้ามเนื้อกระตุก อุณหภูมิร่างกายสูง จนเกิดอาการชัก หยุดหายใจและตายได้ ซึ่งจะมีผลทำให้อวัยวะต่างๆได้รับผลกระทบดังนี้

เซลล์ระบบประสาทถูกทำลาย มีเลือดออกที่สมอง

ระบบหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

เยื่อบุลำใส้ขาดเลือดและเป็นแผล อาจเกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้

ตับและท่อน้ำดี เซลล์ตับตาย

ระบบขับถ่ายผิดปกติ ทำให้เกิดโรคร้ายแรงเฉียบพลันได้

เลือดเข้มข้นเกินไป เกล็ดเลือดต่ำ ระบบเลือด น้ำเหลือง และภูมิคุ้มกัน

บกพร่อง มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด

เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อที่ขาดเลือดและน้ำหล่อเลี้ยงเพียงพอ

เมื่อมีอาการเช่นนี้ต้องพาไปหาแพทย์โดยเร็วที่สุด การปฐมพยาบาลก่อนนำพบแพทย์ทำได้โดยการลดอุณหภูมิร่างกายลงโดยการนำน้ำมาชโลมให้ทั่วทั้งร่างกายหรือทำให้น้องหมาชุ่มน้ำ ใช้สารระเหยทำให้เกิดความเย็นเช่นแอลกอฮอล์เช็ดบริเวณอุ้งเท้า ใต้รักแร้ และบริเวณขาหนีบ เปิดพัดลมช่วยถ่ายเทความร้อน
การป้องกันคือสิ่งที่ดีที่สุดเราสามารถทำได้โดย
ต้องมีน้ำให้กินตลอดเวลาไม่ให้ขาด
ไม่พาออกกำลังกายในช่วงบ่ายหรือเวลาที่อากาศร้อนจัด
หาที่ร่มหรือที่หลบแดดมีอากาศถ่ายเทให้อยู่ในช่วงกลางวัน
เมื่อไปไหนกับน้องหมาไม่ให้เก็บไว้ในรถโดยเด็ดขาด หรือถ้าจำเป็นต้องจอดในที่ร่มมีอากาศถ่ายเทได้ เปิดกระจกออกให้มีอากาศระบายและมีน้ำดื่มไว้ให้ด้วย มีน้องหมาจำนวนมากที่ตายโดยที่เจ้าของคิดว่าไปไม่นานและเป็นสาเหตุที่ใหญ่สุดที่เจอบ่อยที่สุด
การให้อาหารในตอนเย็นต้องให้หลังจากแดดร่มแล้วหรือยืดเวลาออกไปให้หลังพระอาทิตย์ตก เนื่องจากน้องหมาจะไม่กินอาหารหากอากาศร้อน
อาบน้ำให้หรือราดน้ำให้ทั่วและเช็ดตัวให้หมาดๆ ปล่อยให้แห้งเองโดยไม่ต้องไดร์
อาจใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆปูให้นอนในช่วงกลางวัน แต่ต้องเอาออกในช่วงกลางคืนป้องกันปอดบวม
ใช้พัดลมเป่าหรือให้อยู่ในห้องแอร์เลย
การที่น้องหมาจะกลับมาหายดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าอวัยวะถูกทำลายลงไปมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเราควรป้องกันไว้ก่อนที่จะเกิดอาการเช่นนี้ เพราะไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่า “กันไว้ดีกว่าแก้”


ไฮเปอร์เทอเมีย Hyperthermia หรือ ฮีทสโตรก Heat Stroke คือ อาการที่อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เนื่องจากร่างกายได้รับความร้อนจากภายนอกมากขึ้น หรือเนื่องจากร่างกายเกิดความร้อนภายในมากขึ้น หรือเนื่องจากการระบายความร้อนออกจากร่างกายน้อยลง สาเหตุ- สาเหตุสำคัญก็คือการที่อากาศภายนอกร้อนจัดเป็นเวลานาน- เกิดจากให้สัตว์ออกกำลังกายมากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อขณะมีความชื้นในอากาศสูง- สัตว์อ้วนเกินไป- สัตว์มีขนดก หนา และจำเป็นต้องอยู่ในที่ที่การระบายอากาศไม่ดีพอ เช่น การขนส่งสัตว์โดยทางเรือ- เนื่องจาก Dehydration ซึ่งทำให้การระบายอากาศโดยการระเหยของน้ำในเนื้อเยื่อต่างๆ ลดลง- การให้ยาสงบประสาท กับสัตว์ในขณะที่มีอากาศร้อน จะทำให้เกิด ไฮเปอร์เทอร์เมียได้ Metabolic rate จะสูงขึ้นประมาณ 40-50% Glycogen ที่เก็บสะสมไว้ในตับจะถูกนำมาใช้ไปอย่างรวดเร็ว และพลังงานพิเศษของร่างกายจะได้มาจากการเพิ่ม Protein metabolism สูงขึ้น เนื่องจาก Hyperthermia ทำให้สัตว์ปากแห้ง และการทำงานของระบบการหายใจผิดไป จึงทำให้เกิดการเบื่ออาหาร ซึ่งมีผลทำให้น้ำหนักตัวลดลง และกล้ามเนื้อขาดพลัง เกิดภาวะ hypoglycemia และ non-protein nitrogen ในเลือดสูงสัตว์จะกระหายน้ำเนื่องจากปากแห้ง อัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของเลือดสูงขึ้น และเนื่องจากความดันเลือดตกอันเป็นผลมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลาย อัตราการหายใจสูงขึ้นเนื่องจากการที่อุณหภูมิสูงขึ้นจะไปมีผลต่อ respiratory centre ปัสสาวะจะลดน้อยลงเนื่องจากจำนวนเลือดที่ผ่านไตน้อยลง อันเป็นผลสือเนื่องมาจากการขยายตัวของเส้นเลือดส่วนปลายเมื่อเกิด Hyperthermia ถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถึงขั้นอันตรายสูงสุด จะมีผลคือระบบประสาทจะถูกกดการทำหน้าที่ตามปกติของมัน และระบบการหายใจก็จะถูกกดเช่นเดียวกันอันเป็นผลทำให้สัตว์ตาย เนื่องจากกการล้มเหลวของระบบการหายใจ ระบบการไหลเวียนของเลือดก็จะล้มเหลวเช่นกัน เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนกำลำง ถ้าภาวะ Hyperthermia ไม่สูง และนานเกินไปก็จะมีผลกระทบกระเทือนต่อ metabolism ภายในร่างกายเท่านั้น และมักจะเกิด degenerative changes ของเนื้อเยื่อต่างๆ ด้วย อาการอาการที่สัตว์แสดงให้เห็นในระยะแรกๆ ก็คืออุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นกว่าปกติ อัตราการเต้นของหัวใจ และการหายใจจะเพิ่มขึ้น ชีพจรอ่อนลง ในระยะแรกจะมีเหงื่อออกมาก แต่ระยะต่อไปจะไม่มีเหงื่อออกมาเลย น้ำลายไหล กระวนกระวายต่อมาก็จะเริ่มซึม เดินโซเซ ในระยะแรกสัตว์จะกระหายน้ำจัด และจะพยายามอยู่ในที่เย็น เช่นนอนแช่น้ำ ต่อมาเมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงถึง 106 F. จะถึงขั้นหายใจหอบ ต่อจากนั้นจะหายใจตื้นไม่เป็นจังหวะ ชีพจรเร็วมาก และอ่อน สุดท้ายถึงขั้น collapse ชัก และโคม่า ส่วนมากสัตว์ทุกชนิดตายเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงถึง 107-109 F. ส่วนสัตว์ท้องอาจจะแท้งได้ถ้าระยะเวลาที่เกิด Hyperthermia นานการวินิจฉัยโรคต้องแยกให้ออกระหว่าง Hyperthermia กับ อาการไข้ และโลหิตเป็นพิษ (Septicemia) สำหรับโลหิตเป็นพิษจะพบมีจุดเลือดออกที่ muscous membrane และบางครั้งพบที่ผิวหนังด้วย และในการเพาะเชื้ออาจจะพบแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคนอกจากนี้การตรวจ และสังเกตสิ่งแวดล้อมมีส่วนช่วยอย่างมากในการหาสาเหตุของ Hyperthermiaการรักษาใช้วิธีประคบเย็น(cold applications) จะได้ผลดีนอกจากนี้การให้ยาพวกซาลิซีเอท (Salicyate) เช่น แอสไพริน ก็ช่วยได้มากในกรณีเช่นนี้ โดยให้กินสำหรับม้า และโคให้ในขนาด 8-60 กรัม สุกร 1-3 กรัม สุนัข 0.3-1 กรัม นอกจากนี้ควรให้ยาสยบประสาท (Tranqulizing drugs) เช่น Largactil (chlorpromazine hydrochloride) เพื่อระงับอาการกระวนกระวาย นอกจากนั้นควรให้ยาช่วยประกอบการรักษาด้วย เช่นการฉีดกลูโคส และโปรตีน และให้สัตว์ป่วยอยู่ในที่ร่ม มีการระบายอากาศดี มีน้ำให้กินเพียงพอ

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552

chow chow




เชา เชา (chow chow)


เป็นสุนัขสายเลือดเก่าแก่มาก มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนโดยมีรูปปรากฏอยู่บนภาพเขียนสมัยราชวงศ์ฮั่น เป็นหลักฐานยืนยัน ในสมัยนั้น เชา เชา ถูกใช้เป็นสุนัขอเนกประสงค์ นอกจากจะใช้เฝ้าบ้าน หรือเฝ้ากองคาราวาน และกองเรือ เชา เชา เป็นสุนัขขนาดปานกลาง รูปร่างกระชับ มีขนปุกปุยอัดตัวกันแน่น ส่วนสูงเฉลี่ย 46 เซนติเมตร หนัก 20-25 กิโลกรัม หัวใหญ่แบนและกว้าง ปากยาวปานกลาง จมูกสีดำหรือน้ำตาล ค่อนข้างเล็ก หูเล็กป้อม หางเป็นพวงใหญ่ม้วนตวัดเหนือหลัง ตาเล็กและดำ ริมฝีปากเหลืองและ เพดานมีสีดำ ลิ้นเป็นสีดำอมม่วง เชา เชา เมื่อโตแล้วจะมีใบหน้าย่นบึ้ง
เป็นลักษณะเด่นประจำตัว เชา เชา เป็นสุนัขที่เงียบมากเห่านับครั้งได้ และส่วนใหญ่เห่าเพื่อเตือนให้ระวังภัย มีนิสัย ซื่อสัตย์ เก็บตัวและขรึม ชอบมีนายคนเดียว เชื่อกันว่าเป็นสายพันธุ์ที่เป็นหนึ่งในต้นแบบของเชา เชา ได้แก่ ชิสุ ชาเป่ย ปักกิ่ง (พันธุ์สุนัข) ปั๊ก และเชา เชา ได้พูดถึงสุนัขพันธุ์ เชา เชา ว่าเป็นสุนัขที่ซึ่ง ยังมี่จุดกำเนิดของการสร้างสายพันธุ์ที่ไม่ค่อยชัดเจน หรือไม่สามารถจัดให้เข้ากลุ่มอื่นๆ ได้สุนัขในกลุ่มนี้ค่อนข้างมีความหลากหลาย แต่เป็นกลุ่มสุนัขที่มีความแข็งแรง มีบุคลิกที่แตกต่างกัน และได้รวมถึงสุนัขสายพันธุ์ ดัลเมเชี่ยน( Dalmatian) เฟร้นช์บูลล์ด๊อก (French Bulldog) และคีชอนด์ (Keeshond) สุนัขในกลุ่มนี้
มีความหลากหลายในหลายๆ เรือง ตั้งแต่ขนาด ขน สีและการแสดงออกทางสีหน้านิสัยของเชา เชาตอนแรกเกิดก็เหมือนสุนัขทั่วไป เปรียบสมือนเด็กที่กำลังคลอดมาใหม่ สุนัข 1 ปีจะเท่ากับอายุของคน 7 ปี เมื่อ เชา เชาเข้าสู้วัยรุ่นจะชอบเรียนรู้และขี้เล่น ขี้อ้อนเจ้าของ เป็นช่วงที่เราควรสอนเรื่องต่างๆ ให้เชา เชา
เมื่อถึงวัยชรา เชา เชา และ สุนัขทุกสายพันธุ์ต้องการความรักและความเอาใจใส่จากเจ้าของ เราจึงต้องให้ความรักและเอาใจใส่ดูแลเป็นอย่างดีและรวมถึงโรคที่จะเกิดขึ้นกับสุนัขวัยนี้ด้วย

ลูกสนัขแสนน่ารัก











สุนัขพันธุ์ชิสุห์

มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศธิเบต ปี ค.ศ.1850 ชิสุห์บางตัวจากธิเบต ถูกส่งไปเป็น เครื่องบรรณาการแก่ราชวงศ์แมนจู ชาวจีนเรียกสุนัขเหล่านี้ว่า SHIH TZU KOU แปลว่า สุนัขสิงโต พอสิ้นยุคพระนางซูสีไทเฮา ชิสุห์ก็ถูกทำลายมากมาย แต่ยังมีบางส่วน ที่ถูกนำออกนอกประเทศจีน และกระจาย ไปสู่ประเทศต่าง ๆ ของโลก เช่น อังกฤษและอเมริกา เป็นสุนัขที่มีขนาดเล็ก ขนยาว เป็นมันคล้ายแพรวไหม มีนิสัยที่ร่าเริง รักเจ้าของ กล้าหาญ หัวมีลักษณะกว้าง กลม มีขนาดสมดุล กับขนาดของลำตัว หูจะมีขนาดใหญ่ โคนหูต่ำกว่ายอดหัวกะโหลกเล็กน้อย ตากลมโตนัยน์ตาสีดำ จมูกกว้างเป็นสีดำ ดั้งมีมุมหักที่เห็นได้ชัดเจน ปากจะมีขนาดสั้น ลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ฟันขบแบบเสมอ ลำตัวจะมีความยาวมากกว่าความสุง เส้นหลังตรงอยุ่ในแนวระดับ คอจะเชิดดูสง่างาม อกจะกว้างและลึก ขาหน้าและขาหลังจะสั้น มีกระดูกใหญ่พอประมาณ มีขนยาว เท้ามีขนาดใหญ่ โคนหางค่อนข้างสูง หางพาดอยู่บนหลังมีขนยาว ขนจะมีสีสองชั้น ขนมีคุณภาพดี แน่น เหยียดตรงหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ไม่หยิก หัวจะมีขนยาว นิยมมัดเป็นจุก ขนจะมีสีอะไรก็ได้ สุนัขพันธุ์ชิสุห์จะมีน้ำหนักประมาณ 9-18 ปอนด์ ส่วนสูงประมาณ 8-11 นิ้ว ข้อบกพร่องของสุนัขพันธุ์ชิสุห์ ก็คือ หัวกะโหลกแคบจะแคบ ตาจะเล็ก ตาสีอ่อน ปากจะยาว จมูกสีชมพู ขนบาง